12/12/2007

หาดป่าตอง สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัด ภูเก็ต

อยู่ห่างจากตัวเมือง ภูเก็ต ประมาณ 15 กิโลเมตร ถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยว จังหวัดภูเก็ต เพราะเป็นชายหาดยอดนิยมของบันดานักท่องเที่ยว หาดป่าตองจะเป็นหาดที่ชาวต่างชาติจะรู้จักกันดีว่า เป็นหาดแห่งการท่องราตรีในซอยบางลา และบริเวณชายหาดขาวสะอาด ทะเลสีคราม มีชายหาดที่มีความนุ่มนวล และสวยงามเป็นอย่างยิ่ง ประกอบกับเป็นสถานที่ ที่มีเครื่องอำนวยความสะดวก ครบครัน ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ธนาคาร สวนสาธารณะ แหล่งบันเทิง และศูนย์การค้า ไว้คอยบริการแกนักท่องเที่ยว อีกทั้งชายหาดที่มีความยาวกว่า 1.5 กิโลเมตร จึงได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก
สิ่งที่ต้องรู้สำหรับผู้ที่จะเดินทางมา เที่ยวที่หาดป่าตอง จังหวัด ภูเก็ต ถ้าหากจะขับรถมาเอง ต้องมีความชำนาญในการที่จะขับรถขึ้นเขาเป็นอย่างดี เพระว่าเส้นทางก่อนถึงชายหาดต้องขับขึ้นเขาก่อน และเส้นทางค่อนข้างลาดชัน คดเคี้ยวต้องใช้ความระมัดระวัง เป็นอย่างมาก และยิ่งเวลาฝนตกถนนจะค่อนข้างลื่น ต้องขับรถมีน้ำใจเคารพกฎจราจร เพื่อการเดินทางจะได้ปลอดภัย สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ขับรถมาเอง ก็สามารถนั่งรถบัสมาได้เหมือนกัน โดยขึ้นรถที่ตลาดสดในเมือง หรือไม่ก็นั่งตุ๊กตุ๊ก ก็จะสะดวกมาก
ถือได้ว่าหาดป่าตองเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ครบวงจรจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร โรงแรม แหล่งช๊อปปิ้ง หรือแม้แต่แหล่งบันเทิงจะมีประเภทโชว์ต่างๆ

งานประเพณี ไหลเรือไฟ นครพนม

งานประเพณี ไหลเรือไฟ นครพนม (เฮือไฟ) จัดขึ้นในวันออกพรรษา คือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดริม แม่น้ำโขงบริเวณเขตเทศบาล การ ไหลเรือไฟ ถือเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า ในวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จมา จากเทวโลก หลังจากที่พระพุทธองค์ได้เสด็จขึ้นไปจำพรรษา ที่ดาวดึงษ์เพื่อแสดงพระธรรมเทศนา โปรดพระพุทธมารดา เมื่อออกพรรษา แล้วพระพุทธเจ้าก็เสด็จลงมาสู่มนุษย์โลก โดยบันไดทิพย์ทั้ง 3 วันนี้เรียกว่า “วันพระเจ้าโปรดโลก” พระองค์เสด็จมา ณ เมืองสังกัสสะ สถานที่นั้นเรียกว่า “อจลเจดีย์” ทวยเทพทั้งหลายส่งเสด็จ มวลมนุษย์ทั้งหลายรับเสด็จด้วย เครื่องสักการะบูชามโหฬาร การไหลเรือไฟก็คือการสักการะบูชา อย่างหนี่งในวันนั้น และได้ทำเป็นประเพณีสืบทอดกัน มาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ยังมีตำนานการ ไหลเรือไฟที่แตกต่างกันก็ถือว่า ทำให้ได้รับอานิสงฆ์ เหมือนกัน เดิมเรือไฟทำด้วยท่อนกล้วยหรือ ไม้ไผ่ต่อเป็นลำเรือยาวประมาณ 5-6 วา ข้างในบรรจุไว้ด้วยขนม ข้าวต้มมัด หรือสิ่งของที่ต้องการจะบริจาคทาน ข้างนอกเรือมีดอกไม้ ธูป เทียน ตะเกียง ขี้ไต้ สำหรับจุดให้สว่างไสวก่อนจะปล่อย เรือไฟ ปัจจุบันมีการจัดทำเรือไฟเป็นรูปแบบต่างๆ ที่ขนาดใหญ่โตขึ้น มีวิธีการประดับตกแต่ง ให้วิจิตรตระการตามากยิ่งขึ้น เมื่อปล่อยเรือไฟ เหล่านี้ลงกลางลำน้ำโขง ภายหลังการจุด ไฟให้ลุกโชติช่วง จะเป็นภาพที่งดงาม ติดตาติดใจ ผู้พบเห็นไปตราบนานเท่านาน ไม่มีที่ไหนๆ ในประเทศไทยจะ ยิ่งใหญ่เหมือน ที่จังหวัดนครพนม

สวนสัตว์เปิดเขาเขียว

เป็นสวนสัตว์ที่ตั้งอยู่ในเขต ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และเป็นสวนสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก ภายในสวนสัตว์ก็มีบริการต่างๆ มากมายเพื่อให้ความสะดวก แก่นักท่องเที่ยว เช่นมีบริการจักรยานนาวา มีบริการรถไฟเล็กไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ นั่งชมบรรยากาศบริเวณรอบ ๆ ของสวนสัตว์เดเขาเขียว นอกจากนี้ยังมีร้านขายอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และที่สำคัญไปกว่านั้น ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียวมีสัตว์ป่า มากมายนานา ชนิด ไว้ให้เลือกชมและศึกษามากกว่า 300 ชนิด รวมจำนวนสัตว์ทั้งสิ้นมากถึง 8,000 ตัว
สำหรับเวลาเปิดทำการ ของสวนสัตว์เปิดเขาเขียวนั้น ได้สนับสนุนการ ท่องเที่ยวทั่วไทย โดยเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 น. ถึงเวลา 18.00 น.
ถ้ามา ท่องเที่ยวทั่วไทย ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียวแล้ว สิ่งที่ไม่ควรพลาด ในการรับชม ก็คือชมการแสดงความน่ารักของสัตว์ และถ่ายภาพร่วมกันกับสัตว์ป่า ที่มีความน่ารัก ไม่ว่าจะเป็น ชิมแปนซี มาคอว์ เหยี่ยว ฯลฯ ซึ่งมีกำหนดการแสดงในเวลา 11.00 น. 14.00 น. 15.00 น. ในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ และในวันเสาร์ อาทิตย์ นั้นก็จะมีการแสดงของสัตว์เพิ่มขึ้นเป็น 4 รอบ คือในเวลา 11.00 น. 14.00 น. 15.00 น. และอีกรอบเวลา 16.00 น. อย่าลืม ท่องเที่ยวทั่วไทย กับ thailandvuddy.com
อัตราของการเก็บเงินเข้าชมสวนสัตว์เปิดเขาเขียวนั้น ก็ได้แบ่งออกเป็น
ผู้ใหญ่ 50 บาท
เด็ก 15 บาท
รถยนต์ 50 บาท
รถบัส 60 บาท
รถจักยานยนต์ 10 บาท

อุทยานประวัติศาสตร์เขาพนมรุ้ง

อุทยานแห่งชาติประวัติศาสตร์ เขาพนมรุ้ง ถ้ามองใน แผนที่ประเทศไทย แล้ว จะอยู่ทางด้าน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทย ทิศเหนือ ติดต่อกับ จังหวัดขอนแก่น และมหาสารคาม ทิศใต้ ติดต่อกับ จังหวัดสระแก้ว ทิศตะวันตก ติดต่อกับ จังหวัดนครราชสีมา ทิศตะวันออก ติดต่อกับ จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทหินที่สวยงาม มีธรรมชาติที่สดชื่นล้อมลอบ หน้าท่องเที่ยวและหน้าพักผ่อนเป็นอย่างมาก สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวไทยเราเอง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของไทยเราอยู่ทางทิศใต้ของตัวเมืองบุรีรัมย์ ประมาณ 77 กิโลเมตร
ปราสาทหินพนมรุ้ง เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ตั้งอยู่บนภูเขาไฟเก่าสูงประมาณ 200 เมตรหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีสิ่งก่อสร้างต่างๆ ตั้งเรียงรายขึ้นไปจนถึงปรางค์ประธาน บนยอดปราสาทหินที่สวยงาม บันไดขึ้นปราสาทในช่วงแรกทาเป็นสระน้ำ ผ่านมาสู่ชั้นแรกเป็นทางเดินมี เสานางเรียงปักตรงขอบทางทั้งสองข้างเป็นระยะๆไปสู่สะพานนาคราชเป็นดินแดน ที่เชื่อมต่อ ระหว่างมนุษย์และสวรรค์สุดบันได จะเห็นเป็นชานที่โล่งกว้างเป็นทางไปสู่สะพานนาคราช เส้นทางหลักที่จะผ่านเข้าสู่ลานชั้น ในของปราสาทเข้าไปถึงปรางค์ประธาน ของปราสาทปรางค์ประธานจะตั้งอยู่ตรงกลาง ของลานปราสาทชั้นใน ปรางค์ประธานจะสลักลวดลาย ประดับเป็นลายดอกไม้ ใบไม้ เทพประจาทิศ ศิวนาคราช และภาพฤาษี ล้วนสวยงามหน้าชื่นชมนัก ลานชั้นในด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทจะมีปรางค์ขนาดเล็ก 1 องค์ตั้งอยู่ไม่มี หลังคาเป็นภาพสลักที่บอก ให้ทราบว่าปรางค์องค์นี้ได้สร้างขึ้นก่อนปรางค์ประธานมีอายุราวศตวรรษที่ 16 และมีฐานปรางค์ที่ก่อด้วยอิฐมีอายุเก่าแก่ประมาณ พุทธศตวรรษที่ 15 อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือขององค์ประธาน

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำระยอง

สถานที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำระยอง จะอยู่ที่ บ้านเพ จังหวัดระยอง ซึ่งใช้หลักในการก่อสร้าง ให้ตัวของ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำระยอง ยื่นออกไปในทะเล และจะมีบางส่วน อยู่ในท้องทะเล ซึ่งภายในของพิพิธภัณฑ์ จะมีจุดให้ นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป ร่วมกับปลาที่อยู่ในตู้กระจก สำหรับบัตรสำหรับเดินชม ภายในพิพิธภัณฑ์ มีราคา เพียง 20 บาทเท่านั้น ซึ่งเมือเดินเข้าไปภายใน สิ่งที่พบเป็นสิ่งแรกก็คือ ตู้ปลาที่มีขาดใหญ่และขนาด กลาง รวมกันอยู่เป็นจำนวนมาก โดยมีการแยกชนิดของปลาออกเป็น แต่ละประเภท แต่ละชนิด เพื่อให้ง่ายและสะดวกในการ เลือกชม
หลักจากที่เดิม ชมในชั้นแรกของ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำระยอง ต่อไปก็ลองมาดู ที่ชั้นสอง ก็จะมีตู้ปลาขนาดใหญ่ ซึ่งภายในตู้ปลา ก็มีทั้งปลาเล็ก และปลาใหญ่ รวมกัน ว่ายวนเวียนเป็นจำนวนมาก สร้างความประทับใจให้กับ นักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างมาก จุดที่เป็นจุดคลายแมค ก็คือในส่วนที่เป็นอุโมงค์ ของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำระยอง ซึ่งจะมีความยาวที่พอประมาณ และเมื่อเราไปยืนอยู่ ในส่วนที่เป็นอุโมงค์ ก็จะเป็นปลา ทั้งขนาดเล็กเละขนาดใหญ่ เวียนว่ายผ่านศีรษะ ของเรา ซึ่งเป็นภาพ ที่สร้างความประทับใจ ให้นักท่องเที่ยว ซึ่งหลายคนมาที่ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำระยอง แล้วต้องกลับมาเที่ยวอีกครั้ง

ดอยสุเทพเป็นศรี ประเพณีเป็นสง่า บุปผาชาติล้วนงามตา นามล้ำค่านครพิงค์

เชียงใหม่ นพบุรี ศรีนครพิงค์ หรือเวียงพิงค์ ของพ่อ ขุนเม็งรายมหาราชในอดีต หรือเชียงใหม่ในวันนี้เป็นเมืองที่ รวบรวมศิลปกรรม โบราณวัตถุ ตลอดจนวัฒนธรรมดั้งเดิม ของลานนาไทยเอาไว้ ส่วนสภาพทางภูมิศาสตร์นั้น พื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่ส่วนใหญ่เป็นป่าละเมาะและภูเขา เนื้อที่ ประมาณ 20,107 ตารางกิโลเมตร มีที่ราบอยู่ตอนกลาง ตามสองฟากฝั่งแม่น้ำปิง

ประวัติและความเป็นมา :
เชียงใหม่ มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน ในตำนานแรกๆ ที่กล่าวถึงเชียงใหม่ อย่างตำนานว่าด้วยพระธาตุในล้านนา กล่าวถึง ลัวะ ว่าเป็นชนพื้นเมืองมาก่อน ตำนานมูลศาสนา ชินกาลมาลีปกรณ์และจามเทวีวงศ์ กล่าวเปรียบเทียบลัวะ ว่าเป็นคนเกิด ในรอยเท้าสัตว์ ด้วยเหตุที่ ลัวะ ถือเอารูปสัตว์เป็นสัญลักษณ์ ตำนานรุ่นหลังอย่างตำนานสุวรรณคำแดง หรือ ตำนานเสาอินทขิล เล่าว่า ลัวะ เป็นผู้สร้าง เวียงเจ็ดลิน เวียงสวนดอก และเวียงนพบุรี หรือ เชียงใหม่ ลัวะ จึงน่าจะเป็นชนกลุ่มแรก ที่สร้างเมือง แต่ก่อนหน้านี้ ก็คงมีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว แต่ยังไม่เป็นเมืองเต็มรูปแบบ
ในขณะเดียวกัน ที่ลำพูน ก็มีเมืองชื่อหริภุญไชย ตามตำนานการสร้างเมืองเล่าว่า พระนางจามเทวีวงศ์ ธิดากษัตริย์เมืองละโว้ เสด็จขึ้นมาครองหริภุญไชยใน พ.ศ.1310-1311 ครั้งนั้น พระนางได้พาบริวาร ข้าราชบริพาร ที่เชี่ยวชาญ ในศิลปวิทยาการต่างๆ ขึ้นมาด้วย หริภุญไชยจึงได้รับเอาพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรม ละโว้ มาใช้ในการพัฒนาจนเจริญขึ้นเป็นแคว้นใหญ่ จวบจนประมาณปี พ.ศ.1839 พญามังราย ผู้สืบเชื้อสายมาจากปู่เจ้าลาวจก หรือ ลวจักราช เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ลาว ครองเมืองเงินยาง ซึ่งได้แผ่อำนาจครอบคลุมลุ่มแม่น้ำกก และได้สร้างเวียงเชียงราย ขึ้นเป็นกองบัญชาการ ซ่องสุมไพร่พล เพื่อยึดครองหริภุญไชย เนื่องจากหริภุญไชย เป็นเมืองศูนย์กลางความเจริญ และเป็นชุมทางการค้า
พญามังรายได้เข้ายึดครองหริภุญไชย แล้วประทับอยู่เพียง 2 ปี ก็ทรงย้ายไปสร้างเวียงกุมกาม ใน พ.ศ.1837 ก่อนจะย้ายมาสร้าง เวียงเชียงใหม่ ใน พ.ศ.1839 โดยได้ร่วมกับพระสหายคือ พญางำเมือง และพ่อขุนรามคำแหง สถาปนา "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่" ขึ้น
พญามังรายได้พัฒนาเมืองเชียงใหม่ ทั้งการก่อสร้างวัดวาอาราม มีการตรากฏหมายที่เรียกว่า "มังรายศาสตร์" รวมถึง รับเอาพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์ เข้ามาเผยแผ่ ในอาณาจักร ซึ่งทำให้พระภิกษุ ในล้านนา สนใจศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก สมัยพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์องค์ที่ 9 อาณาจักรล้านนา ได้ขยายออกไปอีกอย่างกว้างขวาง พร้อมกับได้ผูกสัมพันธไมตรี กับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งในสมัยของพระเจ้าติโลกราชนี้เอง ที่ได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎก ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
อาณาจักรล้านนาเริ่มเสื่อมลงไปปลายสมัยพญาเมืองแก้ว เนื่องจากทำสงครามกับเชียงตุง พ่ายแพ้เสียชีวิตไพร่พลเป็นอันมาก ประกอบกับเกิดอุทกภัย กระทบถึงความมั่นคงของอาณาจักร เมืองในการปกครองเริ่มตีตัวออกห่าง พ.ศ.2101 ในสมัยมหาเทวีจิรประภา กษัตริย์องค์ที่ 15 พม่าได้ยกกองทัพมาตีเชียงใหม่ เพียง 3 วันก็เสียเมือง และกลายเป็นเมืองขึ้นของพม่ายาวนานถึง 216 ปี
ต่อมาในปี พ.ศ.2317 พญาจ่าบ้านและพระเจ้ากาวิละ ได้ร่วมกันต่อต้านพม่า และอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรี ยกทัพมาขับไล่พม่าพ่ายแพ้ไป ต่อมาในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงแต่งตั้งพระเจ้ากาวิละ ขึ้นครองเมือง ในฐานะเมืองประเทศราช พระเจ้ากาวิละ ได้ฟื้นฟูเชียงใหม่จนมีอาณาเขตกว้างขวาง การค้าขายรุ่งเรือง ขณะเดียวกันก็ได้จัดส่งบรรณาการ ส่วยสิ่งของและอื่นๆ ให้แก่กรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งยังมีอำนาจในการแต่งตั้งตำแหน่งเจ้าเมืองและขุนนางระดับสูง
ล่วงมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่ออิทธิพลตะวันตกแผ่เข้ามาในเมืองไทย มีการปฏิรูปการปกครอง โดยผนวกดินแดนล้านนาเข้ามาเป็นมณฑลพายัพ แต่ก็ยังเป็นเมืองประเทศราชในอาณัติราชอาณาจักรสยาม ตรงกับรัชสมัยของเจ้าอินทวิชยานนท์ และรัชกาลที่ 5 ได้ทรงขอเจ้าดารารัศมี ธิดาของเจ้าอินทวิชยานนท์ไปเป็นชายา ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
เมื่อมีการสร้างทางรถไฟขึ้นในเวลาต่อมา ส่งผลให้เมืองเชียงใหม่ ขยายตัวยิ่งขึ้น และใกล้ชิดกรุงเทพฯ มากขึ้น ในปี พ.ศ.2475 เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มณฑลเทศาภิบาลถูกยกเลิก เชียงใหม่มีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่ง หลังจากนั้นเชียงใหม่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนมีความสำคัญรองจากกรุงเทพฯ เท่านั้น